ใช้ "หูฟัง" ระวัง "หูหนวก"
การสูญเสียการได้ยินไม่ใช่โรคร้ายที่คุกคามต่อชีวิต แต่สร้างปัญหาให้กับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกผู้คนไม่น้อย
และแม้จะไม่มีสถิติระบุแน่ชัด
แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่ารูปแบบการใช้ชีวิตสมัยใหม่
อย่างเช่นการใช้หูฟังแบบเอียร์บัดเพื่อฟังเพลงหรือชมภาพยนตร์ผ่านอุปกรณ์โม
บายเป็นเวลานานๆ เรื่อยไปจนถึงเสียงต่างๆ รอบตัวเราที่ดังมากขึ้นเรื่อยๆ
อาจส่งผลให้เกิดภาวะการสูญเสียการได้ยินอันเกิดจากเสียง (เอ็นไอเอชแอล)
ได้ในช่วงอายุน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ศาสตราจารย์ จิลล์
กรุนวาลด์ นักโสตสัมผัสวิทยา (ออดิโอโลจิสต์)
จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี
สหรัฐอเมริกา
บอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักว่าสภาพแวดล้อมในชีวิตยุคใหม่ดังมากเกินไปจนเป็น
อันตรายต่อหูของตัวเองจนกระทั่งสายเกินไป สภาพแวดล้อมเดิมๆ
ที่เราได้ยินเสียงเพียงเพื่อสันทนาการนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ทั้งการสวมหูฟังเพื่อรับฟังเสียงเป็นการส่วนตัว, การชมคอนเสิร์ต,
สภาพแวดล้อมในบาร์, โรงภาพยนตร์
ล้วนดังมากและเป็นสิ่งที่เราเจอะเจอเป็นประจำในชีวิตประจำวัน
กรุน วาลด์ชี้ว่า
การได้ยินเสียงดังมากๆ
เป็นระยะเวลานานยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการสูญเสียการได้ยินให้กับทุกคน
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใด และมีเหตุผลพอที่จะบอกได้ว่า
ผู้คนในยุคปัจจุบันมีปัญหาเอ็นไอเอชแอลเกิดขึ้นในช่วงอายุน้อยกว่า
จากสาเหตุทั้งสภาพแวดล้อมในการทำงานและการพักผ่อนหย่อนใจ
เอ็นไอ
เอชแอลเป็นภาวะค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการได้ยินลงไปเรื่อยๆ
ปกติจะเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น แต่การได้รับฟังเสียงดังมากๆ
ตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถก่อให้เกิดโรคนี้ได้
ซึ่งจะยิ่งแย่ลงมากขึ้นเมื่ออายุสูงขึ้นในอนาคต
สถาบันเพื่อความ
ปลอดภัยในงานอาชีพแห่งชาติ (เอ็นไอโอเอสเอช)
และสมาคมเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยในงานอาชีพ (โอเอสเอชเอ) ของสหรัฐอเมริกา
กำหนดค่ามาตรฐานของเสียงที่เราได้ยินแล้วยังปลอดภัยเอาไว้ที่ระดับ 85 เดซิเบล ซึ่งดังเท่าๆ
กับเสียงการจราจรบนท้องถนนที่เราได้ยินเมื่อนั่งอยู่ภายในรถ
การได้ยินเสียงที่ดังกว่าระดับดังกล่าว
ก่อความเสี่ยงให้เกิดการสูญเสียการได้ยินเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ
การใช้ หูฟังเพื่อฟังเพลงจากอุปกรณ์ต่างๆ สามารถให้เสียงได้สูงถึง 120 เดซิเบล
ทั้งนี้จากการศึกษาของนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
ซึ่งเป็นระดับเสียงที่เป็นอันตรายอย่างมาก เพราะเสียงในระดับเกินกว่า 110 เดซิเบลขึ้นไป สามารถทำให้ "เยื่อไมอีลิน" ฉีกหลุดออกจากเซลล์ประสาท
ซึ่งจะตัดขาดการส่งสัญญาณไฟฟ้าจากหูไปยังสมองได้ทันที
ในกรณีนี้การสูญเสียการได้ยินจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและไม่สามารถฟื้นฟู
ได้อีกต่อไป
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเสียงดังอาจดังได้ถึง
90 เดซิเบล อย่างเช่น เลื่อยเชนซอว์ หรือเจ็ตสกี
มีระดับความดังที่ 100 เดซิเบล
ในคลับหรือคอนเสิร์ตอาจมีเสียงดังได้มากถึง 105 เดซิเบล
การเปิดวิทยุในรถยนต์ดังมากๆ อาจทำให้ระดับเสียงสูงขึ้นถึง 120 เดซิเบล หรือการยืนอยู่ห่างจากปืนขณะที่มีการลั่นกระสุนราว 2-3 ฟุต จะได้ยินเสียงระดับ 140 เดซิเบล ที่อาจเป็นระดับเสียงเริ่มต้นที่ทำให้ปวดหูได้สำหรับบางคน
การได้ยิน
เสียงดังมากในเวลานานๆ บางครั้งอาจก่อให้เกิดการสูญเสียการได้ยินชั่วคราว เช่น
หลังการชมคอนเสิร์ต 2-3 วัน
เกิดขึ้นจากองค์ประกอบทางเคมีในหูสร้างภาวะดังกล่าวขึ้นเพื่อป้องกันหู
การได้ยินจะกลับคืนมาได้ และอาจช่วยให้เร็วขึ้นได้ด้วยการไปอยู่ในที่เงียบๆ
เพื่อฟื้นฟูความละเอียดอ่อนของหูอีกครั้ง
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อป้องกันภาวะต่างๆ เหล่านี้
คือให้ลดระดับความดังสูงสุดของอุปกรณ์ที่ใช้กับหูฟังของเราลงจากเดิมให้ เหลือเพียง
70 เปอร์เซ็นต์, ใช้หูฟังแบบครอบหู
แทนหูฟังแบบเอียร์บัด
เมื่อไปชมคอนเสิร์ตก็ควรนำอุปกรณ์อุดหูติดมือไปด้วย
เป็นการป้องกันไว้ก่อนนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น